Spam (สแปม) คืออะไร? ตรวจสอบและป้องกันได้อย่างไร?

Spam (สแปม) คืออะไร? ตรวจสอบและป้องกันได้อย่างไร?

พูดถึง Spam (สแปม) หรืออีเมลขยะแล้ว ใครๆ ก็คงนึกถึงอีเมลจำนวนมากที่ไม่มีเนื้อหาสาระสำคัญอะไร หรือไม่ก็มีเนื้อหาชวนเชื่อ ซึ่งส่งมาเพื่อก่อกวน ก่อให้เกิดความรำคาญใจ ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง และอาจถึงขั้นมีไวรัสแฝงตัวมาจนสร้างความเสียหายได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ เราควรรู้ข้อมูลเอาไว้ว่า Spam คืออะไร มีลักษณะอย่างไร และจะป้องกันได้อย่าไง

 

Spam (สแปม) คืออะไร?

Spam (สแปม) คือ อีเมลที่มีข้อความหรือโฆษณาที่ส่งให้ผู้รับโดยไม่ได้รับอนุญาต บางครั้งอีเมลจะไม่ระบุว่าผู้ส่งเป็นใคร แอบอ้างหรือไม่ ซึ่งก่อความรำคาญใจให้กับผู้รับ การส่ง Spam เริ่มแพร่หลายเนื่องจากการส่งข้อความผ่านอีเมลไม่มีค่าใช้จ่ายเหมือนการส่งข้อความทางอื่น เช่นจดหมาย หรือสื่อโฆษณาในช่องทางอื่นอย่างวิทยุ โทรทัศน์ ผู้ที่ต้องการทำโฆษณาจึงใช้ช่องทางนี้ในการส่งข้อความโฆษณาเพื่อเชิญชวนให้ใช้สินค้าหรือบริการ ก่อนที่จะเริ่มมีกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ Spam เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2546 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

วิธีตรวจสอบ Spam (สแปม)

Spam มีอยู่หลากหลายรูปแบบ เบื้องต้นสามารถใช้วิธีสังเกตได้ดังนี้

  • อีเมลที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาเกินจริง หรือผิดกฎหมาย เช่น การพนัน เว็บโป๊ ขายยาเถื่อน
  • อีเมลที่อาจมีการหลอกลวง เช่น บอกว่าเราชนะรางวัลจากเว็บไซต์ต่างๆ หรือเคยติดต่อทำธุรกิจกับเรา
  • อีเมลที่มีชื่อผู้ส่งแปลกๆ โดยมากมักเป็นชื่อชาวต่างชาติ ส่งมาเพื่อติดต่อทำความรู้จักกับเรา
  • อีเมลปลอมที่แอบอ้างเป็นธนาคารหรือองค์กรต่างๆ มีการหลอกล่อให้กรอกรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัว
  • อีเมลที่ไม่มีเนื้อหาแต่มีการส่งมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบทำงานช้าลง
  • อีเมลที่ส่งมาแต่ภาพ ทำให้ยากต่อระบบการดักจับ Spam
  • อีเมลที่ส่ง Malware และหลอกล่อให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดไฟล์เพื่อติดตั้ง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อข้อมูลความเป็นส่วนตัวและทรัพย์สิน (อ่านเพิ่มเติม…Malware (มัลแวร์) คืออะไร?)

 

การป้องกัน Spam (สแปม)

1. ใช้ Outlook ในการกรองอีเมล Spam

โปรแกรม Outlook จะมีโฟลเดอร์ Junk Mail ที่คอยกรองอีเมลที่ไม่ต้องการออกจาก Inbox ซึ่งสามารถตั้งค่าตัวกรองได้หลายรูปแบบ เนื่องจากอีเมล Spam มักถูกส่งมาในเวลาเดิมๆ

2. หลีกเลี่ยงการใช้อีเมลขององค์กรลงทะเบียนบนอินเทอร์เน็ต

การใช้อีเมลขององค์กรในการลงทะเบียนบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะซื้อของ หรือสมัครใช้บริการใดๆ ก็ตาม จะทำให้อีเมลถูกโปรแกรมสแปมได้ง่าย

3. ไม่ตอบอีเมล Spam

แม้จะส่งข้อความเพื่อบอกว่าอย่าส่งอีเมล Spam มาอีก แต่การตอบอีเมลจะทำให้ผู้ส่งอีเมล Spam รู้ว่าอีเมลนี้มีผู้ใช้งาน และจะยิ่งส่ง Spam มาอีก

4. ตั้งค่าการเปิดเผยอีเมลเมื่อลงทะเบียนบนเว็บไซต์ต่างๆ

เมื่อลงทะเบียนบนเว็บไซต์ต่างๆ เราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะเปิดเผยอีเมลหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการเพิ่มโอกาสในการถูกส่งอีเมล Spam ก็ควรตั้งค่าให้เก็บอีเมลไว้เป็นความลับ รวมถึงไม่ควรโพสอีเมลของเราตามเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บบอร์ด ที่โปรแกรมจะเข้ามาเก็บที่อยู่อีเมลของเราได้

5. ไม่ควรส่งต่อ Forward Mail

การส่งต่อ Forward Mail ที่ได้รับ เช่น อีเมลการขอรับบริจาคต่างๆ จะเพิ่มโอกาสที่อีเมลของเราจะถูกส่งต่อไปอีก ซึ่งชื่ออีเมลของเราก็ปรากฏอยู่ในอีเมลดังกล่าว เพิ่มโอกาสในการได้รับ Spam มากขึ้นเพราะผู้ส่งจะรู้ชื่อที่อยู่อีเมลของเรา

 

บางครั้งอีเมลที่มีเนื้อหาการโฆษณาอาจไม่ใช่ Spam เสมอไป แต่เป็นการทำ Email Marketing ที่แบรนด์จะส่งอีเมลแจ้งข่าวต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ซึ่งเราเคยซื้อหรือใช้บริการมาก่อน ซึ่งถ้าไม่ต้องการรับอีเมลพวกนี้ก็สามารถบล็อกข้อความจากอีเมลดังกล่าว หรือแจ้งไปยังผู้ให้บริการโดยตรง (อ่านเพิ่มเติม… Email Marketing คืออะไร?)

 

 

Top

รายชื่อธุรกิจมาใหม่