สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ E-Commerce หรือมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง คงจะไม่พลาดหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์อย่าง SEO (Search Engine Opitimization) ซึ่งเป็นการตลาดบนเครื่องมือค้นหา หรือที่เรียกว่า Search Engine Marketing (SEM) ที่เห็นผลในระยะยาว จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งการจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นต้องใส่ใจในองค์ประกอบหลายอย่าง และคอยติดตามผลลัพธ์อย่างใจเย็น ไปดูกันดีกว่าว่า SEO คืออะไร และมีข้อดีอย่างไร?
SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?
SEO (Search Engine Opitimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ ทั้งโครงสร้างเว็บไซต์และเนื้อหาเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ของหน้าผลลัพธ์การค้นหา (Search Result Page) เมื่อมีการค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ เนื่องจากผู้คนในปัจจุบันนิยมหาข้อมูลผ่าน Search Engine เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะ Google ถ้าเว็บไซต์ของเราติดอยู่อันดับแรกๆ ก็จะทำให้คนสนใจคลิกเข้ามาดูได้มากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับท้ายๆ (อ่านเพิ่มเติม…Search Engine (เสิร์ชเอ็นจิน) คืออะไร?)
การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคะแนน SEO ที่ดีต้องปรับโครงสร้างและเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เช่น คุณภาพของเนื้อหา, จำนวนหน้าภายในเว็บไซต์, Page Speed, Mobile Friendly เป็นต้น รวมไปถึงเว็บไซต์อื่นๆ ที่ใส่ลิงค์บนหน้าเว็บไซต์ตนเองเพื่อเชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของเราหรือที่เรียกว่า Backlink ก็จะทำให้คะแนน SEO เพิ่มขึ้น
ประเภทของการทำ SEO
1. On-page SEO
On-Page SEO คือ การปรับแต่งสิ่งที่อยู่ในเว็บไซต์ของเรา รวมไปถึงการปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ต้องการทำ SEO เพื่อให้คนค้นหาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตรงความต้องการ ทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับ Search Engine ที่ดีขึ้น
การปรับแต่งเว็บไซต์ประเภท On-Page มีดังนี้
1.1 Keyword
Keyword คือ คำค้นหาหลักๆ ที่เลือกสำหรับการทำ SEO ยกตัวอย่างเช่น เขียนบทความเรื่อง “Return on Investment (ROI) คืออะไร?” ก็อาจเลือก Keywords เป็น “ROI คือ” และเขียน Keywords นี่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ควรเกิน 5% ของบทความทั้งหมด และควรใส่ Keyword ใน Title Tag, Meta Description และ H1 Tag ด้วย
1.2 Content
Content ก็คือส่วนของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword และควรเขียนแบ่งเป็นย่อหน้าเพื่อความเป็นระเบียบ อ่านง่าย มีการเน้นจุดที่สำคัญ เช่น ตัวหนา โดยควรเขียนให้มีความยาวอย่างต่ำ 300 คำขึ้นไป และควรมีรูปภาพประกอบพร้อมคำอธิบายรูปด้วย
1.3 Internal Link
Internal Link คือ การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บไซต์ เพื่อให้ Google สามารถประเมินได้ว่าเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกัน และมีบทความหลายบทความ ไม่ใช่เพียงบทความเดียว
1.4 Responsive Web
Responsive Web หรือเว็บไซต์แบบ Mobile Friendly คือ เว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานในอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน เนื่องจากปัจจุบันคนเปิดเว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนกันมากขึ้น ถ้าเว็บไซต์ยังไม่เป็นแบบ Responsive Web ก็จะทำให้ได้คะแนน SEO น้อย
1.5 Page Speed
Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ซึ่งความเร็วที่ดีคือประมาณ 3-5 วินาที ถ้าช้ากว่านั้นก็จะทำให้ผู้เข้าเว็บไซต์ได้ประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ที่ไม่ดี และจะทำให้กดออกจากเว็บไซต์เร็วขึ้น เพิ่มอัตราการตีกลับ หรือ Bounce Rate ให้สูงขึ้น ซึ่งยิ่งสูงก็ยิ่งทำให้ SEO แย่ลง
2. Off-page SEO
Off-page SEO คือ การใช้ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์มาช่วยให้ SEO ดีขึ้น โดยการโยงลิงค์จากเว็บไซต์อื่นมาที่เว็บไซต์ของเรา หรือที่เรียกว่าการทำ Backlink นั่นเอง ช่วยเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อของเว็บไซต์ และช่วยเพิ่มยอด Traffic หรือจำนวนผู้เข้าชม ทำให้ได้ SEO คะแนนดีขึ้นและทำให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้น
Backlink เป็นเหมือนการโหวตว่าเว็บไซต์ที่ได้รับ Backlink มากๆ เป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพดี คนจึงทำลิงค์เชื่อมโยงเพื่ออ้างอิงข้อมูลกันจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Backlink จำนวนมากเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอต่อการเพิ่มคะแนน SEO เพราะ Backlink ควรเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ และเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ที่โยงลิงค์ไปด้วย
การทำ SEO ดีอย่างไร?
1. เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดี จะทำให้ติดอันดับแรกๆ บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ซึ่งจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เพราะการจะติดอันดับแรกได้ ต้องใช้เวลานานพอสมควร และหน้าเว็บต้องมีโครงสร้างเว็บไซต์รวมถึงเนื้อหาที่มีคุณภาพด้วย
2. เป็นการโฆษณา 24 ชั่วโมง
ผลลัพธ์บน Search Engine จะปรากฏอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่ว่าคนจะค้นชหาข้อมูลเวลาไหนก็สามารถพบเว็บไซต์ของเราได้ ซึ่งถ้าเป็นการลงโฆษณากับ Google Ads เมื่องบประมาณต่อวันหมด โฆษณาก็จะหยุดทันที
3. เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
เมื่อลูกค้าสนใจสินค้าหรือบริการสักอย่างและหาข้อมูลบน Search Engine ก็จะพบเว็บไซต์ของเราอยู่เป็นอันดับแรกๆ ซึ่งตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการค้นหา ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ไม่ต้องโฆษณาอย่างไร้จุดหมายอีกต่อไป
4. เพิ่มฐานลูกค้า
ช่วยทำให้ลูกค้ารู้จัก และจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อในภายภาคหน้า นอกจากนี้เรายังสามารถทำ SEO กับ Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้โดยการทำบทความที่มีประโยชน์ เมื่อคนเจอบทความในเว็บไซต์ของเรา ก็มีโอกาสที่จะสนใจซื้อสินค้าในเว็บไซต์ของเราได้
5. ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
การใช้บริการทำ SEO ผ่านผู้ให้บริการต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีการการันตีอันดับ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก และใช้เวลานานกว่าเว็บไซต์จะติดอันดับแรกๆ ของการค้นหา แต่เมื่อเฉลี่ยแล้วก็จะตกเดือนละไม่กี่พันบาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของ Keyword
SEO ต่างจาก Google Ads อย่างไร?
Google Ads หรือชื่อเดิมคือ Google AdWords ในส่วนของ Search Network จะมีลักษณะคล้ายกับ SEO แต่จะเป็นการซื้อโฆษณากับ Google เพื่อให้เว็บไซต์ของเราไปติดอยู่ด้านบนของพื้นที่ผลการค้นหา โดยไม่ต้องปรับปรุงเว็บไซต์ แต่เราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณา (อ่านเพิ่มเติม…Google Ads (Google AdWords) คืออะไร?)
- SEO ไม่ต้องเสียเงินในการซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine เหมือน Google Ads
- SEO ปรากฏในรูปแบบ Text บนหน้าผลลัพธ์ของ Search Engine เท่านั้น ขณะที่ Google Ads มีทั้งแบบ Text ไปจนถึงรูปภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ บนแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง Search Engine ของ Google, เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google รวมถึง Youtube
- SEO จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและเป็นมิตรกับ Search Engine ถึงจะติดอันดับในหน้าแรกได้
- SEO ใช้เวลานานในการติดอันดับแรกๆ บนผลลัพธ์การค้นหา ขณะที่ Google Ads สามารถขึ้นอันดับแรกๆ ได้เลย แต่การทำ SEO จะอยู่ได้นานกว่า ขณะที่ Google Ads จะหลุดอันดับทันทีเมื่องบโฆษณาต่อวันหมดหรือเราหยุดการจ่ายค่าโฆษณา
- SEO จะกำหนดกลุ่มเป้าหมายไม่ได้ ขึ้นอยู่กับคนค้นหา ขณะที่ Google Ads กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการแสดงโฆษณาได้ทั้ง อายุ เพศ และที่อยู่
SEO เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์อย่างหนึ่งที่เห็นผลระยะยาว แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลระยะสั้นในช่วงเทศกาล หรือช่วงที่เพิ่งออกสินค้าตัวใหม่ โปรโมชั่นต่างๆ ก็สามารถทำ SEO ควบคู่ไปกับ Google Ads ก็ได้เช่นกัน
บทความน่ารู้อื่นๆ
• Search Engine (เสิร์ชเอ็นจิน) คืออะไร?
• Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร? ทำการตลาดเสิร์ชเอ็นจิ้นอย่างไรดี?
• SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร? ดีอย่างไร?
• Google Ads (Google AdWords) คืออะไร? ดีอย่างไร?
• Performance Marketing คืออะไร? ดีกว่าการตลาดออนไลน์ทั่วไปอย่างไร?
• Programmatic Advertising (Programmatic Buying) คืออะไร? ดีอย่างไร?
• Return on Investment (ROI) คืออะไร? สำคัญต่อการทำการตลาดอย่างไร?
• Lead Generation คืออะไร? สำคัญต่อการทำการตลาดอย่างไร?
• Call To Action (CTA) ในเว็บไซต์และการตลาด คืออะไร?
• Conversion คืออะไร? สำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์อย่างไร?