CMS (Content Management System) คืออะไร? มีประโยชน์ต่อเว็บไซต์อย่างไร?

CMS (Content Management System) คืออะไร? มีประโยชน์ต่อเว็บไซต์อย่างไร?

สำหรับบล็อกเกอร์ หรือผู้ที่อยากมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์นำเสนอข้อมูลองค์กรหรือเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ควรจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับ CMS (Content Management System) ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยในการสร้างเว็บไซต์และบริหารจัดการเนื้อหาต่างๆ ที่จะทำให้สะดวกสบายขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับการที่จะต้องเริ่มทำเว็บไซต์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ซึ่งย่อมเสียเวลาและต้นทุนมากกว่า

CMS (Content Management System) คืออะไร?

CMS ย่อมาจาก Content Management System พัฒนาและคิดค้นขึ้นเพื่อลดทรัพยากรในการสร้างและบริหารเว็บไซต์ เป็นระบบที่ช่วยสร้างและบริหารเว็บไซต์สำเร็จรูป ทำให้สามารถลดกำลังคน เวลา และต้นทุนไปได้มาก ซึ่งการใช้งาน CMS นั้น ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของตนเองได้ เพียงแต่ศึกษาการใช้งานระบบนั้นๆ ก่อน ทั้งยังมีโปรแกรมหรือปลั๊กอินต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นของเว็บไซต์ได้ เช่น ถ้าเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ก็สามารถเพิ่มตะกร้าสินค้าลงไปได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องพัฒนาเว็บไซต์เอง

CMS (Content Management System)

ประโยชน์ของ CMS

  • สร้างเว็บไซต์ได้ง่าย ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมก็ทำได้
  • ประหยัดเงินลงทุน เพราะถ้าจ้างบริษัทพัฒนาเว็บไซต์โดยใช้ CMS จะมีค่าจ้างที่ถูกกว่าการใช้ CMS สำเร็จรูปโดยตรง
  • ประหยัดเวลา ถ้าทำด้วยตนเองก็ไม่ต้องเสียเวลาศึกษาด้านโปรแกรมมาก
  • สวยงาม มีหน้าตาเว็บไซต์หรือ Theme หลายแบบให้เลือก
  • มีปลั๊กอินให้เลือกใช้ตามความต้องการ เช่น ตะกร้าสินค้า ปุ่มแชร์ไปยังเฟซบุ๊ก คอมเมนต์ด้วยไอดีเฟซบุ๊ก เป็นต้น
  • ดูแลง่าย เพราะระบบมีรูปแบบที่จัดการง่าย มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

ตัวอย่าง CMS ยอดนิยม

WordPress

พัฒนาโดย แมตต์ มูลเลนเวน ที่เริ่มต้นจากการใช้งาน B2 หรือ Cafelog ในการลงรูปถ่าย ต่อมาผู้พัฒนา B2 ได้หยุดพัฒนา ทำให้แมตต์ มูลเลนแวน คัดลอกโปรแกรมของ B2 ที่เป็น GPL ซอฟต์แวร์ ซึ่งใครก็สามารถใช้โค้ดจากโปรแกรมนี้ได้ มาพัฒนาต่อ โดยมีผู้ร่วมพัฒนาคือ ไมค์ ลิตเติล และคริสทีน ทรีมูเลต WordPress จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา

ปัจจุบัน WordPress ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก เพราะเป็นระบบที่ใช้งานง่าย มีความยืดหยุ่น จุดเด่นของ WordPress คือ ปลั๊กอิน หรือโปรแกรมเสริม ที่ทำให้เว็บไซต์ตอบสนองการใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย รวมถึงระบบ E-commerce ที่เรียกว่า WooCommerce และธีมที่หลากหลายแบบ และสวยงาม ที่สำคัญคือรองรับการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีจึงทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีเวลาค้นหาผ่าน Search Engine อย่าง Google

OpenCart

พัฒนาโดย แดเนียล เคอร์ จุดเริ่มต้นมาจากเขาต้องการระบบ E-commerce ที่สมบูรณ์ คือเป็นระบบที่ใช้โค้ดน้อย มีระบบเทมเพลต และเป็นมิตรกับ Search Engine เขาจึงสร้างระบบขึ้นมาด้วยตนเอง และเผยแพร่แวอร์ชั่น 0.x เป็นครั้งแรกเมื่อปลายปี ค.ศ. 2005

OpenCart เป็น CMS ที่เหมาะกับธุรกิจ E-Commerce เนื่องจากรองรับการสร้างเว็บขายสินค้าออนไลน์ และมีโปรแกรมเสริม เช่น ตะกร้าสินค้า ระบบชำระเงิน ที่ออกแบบมาเพื่อการขายสินค้าออนไลน์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นตรงที่ใช้งานง่าย หน้าตาเว็บไซต์มีความสวยงามเพราะปรับแต่งเทมเพลตได้ และเป็นมิตรต่อการทำ SEO

Magento

เดิมมีชื่อว่า Varien เหมือนกับชื่อบริษัทที่พัฒนา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อ Magneto Inc. ในภายหลัง ซึ่ง Magento Inc. เป็นกลุ่มโปรแกรมเมอร์ใน Open Source Community ที่เคยทำงานร่วมกับ osCommerce ที่เคยเป็น Open Source eCommerce ที่ดีที่สุด แต่ osCommerce หมดความนิยมในภายหลังเพราะ Framework พัฒนาต่อได้ยาก กลุ่ม Magento Inc. จึงพัฒนาขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง จนมีแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาพร้อมกันกับเว็บไซต์ และมีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ

Magento เป็น CMS ที่เหมาะกับธุรกิจ E-Commerce เหมือนกับ Opencart แต่มีจุดเด่นตรงที่สามารถดีไซน์หน้าตาของร้านค้าออนไลน์ได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดรูปแบบ และมีโปรแกรมเสริมสำหรับ E-Commerce ที่ CMS แบบอื่นไม่มี เช่น ระบบการออกโปรโมชั่น การเปรียบเทียบสินค้า เป็นต้น

CMS (Content Management System) แต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนั้นต้องดูว่าเว็บไซต์ของเรามีจุดประสงค์อะไร ถ้าเน้นเป็นเว็บไซต์ข่าว บทความ WordPress อาจเหมาะมากกว่า ถ้าจะทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ถ้ามีสินค้าจำนวนไม่มาก WooCommerce ของ WordPress ก็สามารถตอบโจทย์ได้เช่นกัน แต่หากมีสินค้าเป็นจำนวนมาก OpenCart หรือ Magento ที่เป็นระบบ E-Commerce โดยตรง ก็จะรองรับได้ดีกว่า

Top

รายชื่อธุรกิจมาใหม่